ปัญหาจัดการบริหารเงินของมนุษย์เงินเดือน ต้องแก้ยังไงให้ไม่เดือนชนเดือน

ชีวิตมนุษย์เงินเดือนมักวนเวียนกับรายรับ–รายจ่ายประจำเดือนที่เหมือนจะพอกับรายได้ แต่เมื่อถึงปลายเดือนหลายคนยังพบว่า “เงินหมดก่อนวันเงินออก” หรือถ้าโชคดีมีเงินเก็บก็น้อยนิด การบริหารเงินจึงเป็นเรื่องที่หลายคนต้องเผชิญ และหากไม่มีวิธีจัดการที่ดี ปัญหาเดือนชนเดือนอาจกลายเป็นภาวะเรื้อรังที่สะท้อนถึงสุขภาพการเงินที่ไม่มั่นคง

ทำไมมนุษย์เงินเดือนจึงมักเจอปัญหา “เงินเดือนชนเดือน”

หลายคนได้เงินเดือนเข้าบัญชีแล้วก็ใช้ทันที โดยลืมหักเงินออมก่อนสิ่งอื่น หรือจดบันทึกรายจ่ายไม่เป็นระเบียบ ทำให้ไม่รู้ว่าเงินที่มีอยู่ถูกใช้ไปกับอะไรบ้าง จนสุดท้ายเหลือไม่พอใช้ในช่วงสิ้นเดือน

ปัญหาที่พบบ่อยได้แก่

  • ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยตามเพื่อนหรือสังคม (overspending)
  • ไม่มีการจัดสรรเงินออมให้เป็นระบบ (ไม่ pay yourself first)
  • ขาดการติดตามดูรายรับ–รายจ่ายรายวัน
  • ไม่มีเงินสำรองกรณีฉุกเฉิน
  • หนี้สินหรือผ่อนบัตรเครดิตสูง ทำให้รายจ่ายฟุ่มเฟือยต้องกินจากเงินออม

การที่หลายคนไม่มีนิสัยออมเป็นเรื่องปกติ โดยสำรวจพบว่าในไทยมากกว่าสองในห้าของผู้มีรายได้เก็บออมเพียง 10% ของรายได้ หรือไม่เก็บเลย และมีเพียงส่วนน้อยที่เข้าใจและนำเงินไปลงทุนต่อยอดอย่างเป็นระบบ

วิธีง่ายๆ ที่ช่วยหัก “เงินออม” ก่อนใช้เงินจริง

หนึ่งในหลักการจัดการเงินที่ดีคือแนวคิด “ตั้งแต่ได้เงิน—หักออมนั้นก่อนเลย” หรือเรียกว่า “pay yourself first” เมื่อเงินเดือนเข้าบัญชี ควรแบ่งออกเป็นส่วนสำคัญ เช่น เงินใช้จ่าย เงินออม เงินสำรองฉุกเฉิน โดยเราควร “กันเงิน” ส่วนออมออกเป็นลำดับแรก ไม่ใช่เหลือเท่าไหร่ค่อยออม ด้วยวิธีนี้จะช่วยให้คุณสะสมเงินได้จริงและสร้างวินัยการออมอย่างเป็นระบบ

ใช้กฎ 50‑30‑20 ให้เป็นระบบจัดการเงินง่ายๆ

แนวทางแบ่งสัดส่วนค่าใช้จ่ายยอดนิยมคือสูตร 50‑30‑20 โดยแบ่งรายได้หลังหักภาษีและเงินสมทบเป็น

  • 50% เพื่อค่าใช้จ่ายจำเป็น เช่น ค่าที่พัก ค่าเดินทาง ค่าอาหาร
  • 30% สำหรับค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยหรือชีวิตที่มีความสุข เช่น กาแฟ เที่ยว ซื้อของ
  • 20% ออมไว้ในรูปเงินสำรอง หรือแบ่งไปลงทุนได้ตามเป้าหมาย เช่น กองทุน หรือบัญชีเงินออม

สูตรนี้ถือว่ายืดหยุ่นและปรับตามสภาพรายได้แต่ละคนได้ง่าย สำหรับผู้ที่มีภาระหรือรายได้สูงอาจปรับเป็น 60‑25‑15 หรือสำหรับผู้ใกล้เกษียณอาจเป็น 45‑25‑30 ได้ตามสถานการณ์

สร้างสภาพคล่องฉุกเฉินเพื่อความมั่นคง

การมีเงินสำรองกรณีฉุกเฉิน (emergency fund) อย่างน้อย 3–6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน จะช่วยให้คุณไม่จำเป็นต้องกู้หรือใช้บัตรเครดิตเมื่อเจอเหตุไม่คาดฝัน เช่น ค่าแพทย์หรือซ่อมรถ และสร้างความมั่นคงทางอารมณ์อยู่ได้ในช่วงเครียด

ใช้เครื่องมือช่วยต่อเพื่อความสะดวกและแม่นยำ

ยุคนี้มีแอปจัดการเงิน เช่น แอปบันทึกรายรับรายจ่าย หรือแอปออมเงินอัตโนมัติที่ให้เรากำหนดยอดและช่วงเวลาได้เอง สิ่งเหล่านี้ช่วยให้คุณเห็นภาพรวมรายจ่ายแบบเรียลไทม์และไม่พลาดเป้าหมายออม

วินัยการเงิน สำคัญกว่ามือใหม่เก่ง

งานวิจัยชี้ว่า ”ทักษะทางการเงินและความมีวินัย” มีผลต่อพฤติกรรมการออมอย่างมีนัยยะ โดยคนที่มีวินัยสูงจะออมได้มากกว่า และมีความรู้ทางการเงินช่วยให้เลือกเครื่องมือที่เหมาะสม

การสร้างวินัยเริ่มจากพฤติกรรมง่ายๆ เช่น ไม่ใช้เงินในสิ่งที่ไม่จำเป็น ตั้งงบช้อปปิ้งรายเดือน และทบทวนการใช้จ่ายอยู่เสมอ

หลีกเลี่ยง “หลุมพราง” และปรับพฤติกรรมรายวัน

มนุษย์เงินเดือนมักเจอ “หลุมพราง” เช่น ใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์พนักงานออฟฟิศ เช่น กาแฟวันละแก้ว ร้านดังสักอาทิตย์ละ 1–2 ครั้ง หรือเจอเพื่อนก็ต้องออกไปทานอาหารหรู

การลดค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ เหล่านี้ เช่น เปลี่ยนมาใช้กาแฟง่ายๆ กลับบ้านทำอาหาร และวางแผนพบเพื่อนที่บ้าน จะช่วยลดภาระได้มากในระยะยาว

วางแผนระยะยาว เพิ่มเป้าหมายชัดเจน

การจัดการเงินดีต้องมองให้ไกลกว่ารอบเดือน เพราะเป้าหมายการเงิน เช่น การซื้อบ้าน หรือเกษียณ ต้องมีการวางแผนระยะกลาง-ยาว ควรกำหนดเป้าหมายชัดเจน ลงทุนและเพิ่มบัญชีเฉพาะเป้าหมายนั้น เช่น คืนทุนบ้าน หรือออมเกษียณ

ปรับแผนตามสถานการณ์อย่างยืดหยุ่น

ไม่ว่าจะเริ่มจากสูตร 50‑30‑20 หรือออม 20% แต่หากสถานการณ์เปลี่ยน เช่น รายได้ลด ค่าใช้จ่ายเพิ่ม หรือมีภาระฉุกเฉิน คุณควรปรับสัดส่วนให้เหมาะสม เช่น ลดเงินฟุ่มเฟือย เพิ่มเงินฉุกเฉินชั่วคราว ช่วยให้เดินต่อได้โดยไม่เครียด

มนุษย์เงินเดือนหลายคนติดกับดักรายจ่ายจนถึงสิ้นเดือนซึ่งสร้างความเครียดและลดคุณภาพชีวิต แต่หากเราเริ่มต้นจากการแบ่งออมก่อนใช้ มีวินัยทางการใช้จ่าย และจัดระบบให้เหมาะสมกับเป้าหมายชีวิต ก็จะสามารถหลุดออกจากปัญหาเดือนชนเดือนได้จริง

เคล็ดลับสำคัญคือ เริ่มต้นจากตัวเองก่อน วินัยทางการเงินคือสิ่งที่ทำให้ระบบที่ดีกลายเป็นความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว ขอให้คุณมีความสุขกับรายได้ที่สร้างได้อย่างเต็มศักยภาพ