อินเทอร์เน็ตใต้น้ำ สายเคเบิลที่แบกรับข้อมูลเกือบทั้งโลกไว้ในเส้นเดียว

เวลาที่เราส่งข้อความ ดูวิดีโอ หรือประชุมออนไลน์ข้ามทวีป หลายคนอาจนึกถึง “ดาวเทียม” ว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างเชื่อมต่อกันได้ แต่ความจริงแล้ว กว่า 95% ของข้อมูลทั้งหมดในโลกใบนี้ ไม่ได้เดินทางผ่านอวกาศ  มันไหลอยู่ “ใต้ทะเล”

ใช่แล้ว อินเทอร์เน็ตของโลกยุคนี้พึ่งพา “สายเคเบิลใต้น้ำ” (Submarine Cable) ที่ทอดยาวกว่า 1.5 ล้านกิโลเมตร เชื่อมโยงทุกทวีปเข้าด้วยกัน และแม้จะมองไม่เห็น แต่มันคือ “กระดูกสันหลังของระบบเศรษฐกิจโลกดิจิทัล” ที่ทุกการสื่อสาร การค้า และธุรกรรมออนไลน์ต้องพึ่งพาโลกออนไลน์ที่เรารู้จัก จึงแท้จริงแล้วตั้งอยู่บนโครงข่ายที่เงียบงันในทะเลลึก

เรียนรู้..ไปพร้อมๆกัน] “สายไฟฟ้า..มาหานะเธอ” ตอนที่ 1 : สายไฟฟ้าใต้ทะเลที่ยาวที่สุดในโลก  สายไฟฟ้าใต้น้ำ ใต้ทะเล : submarine cable มีอยู่ทั่วโลกครับ 🔅เส้นแรกของโลก  : ปี 1811 บาวาเรีย เยอรมันนี ครับ 🔅3 ทศวรรษที่ผ่านมามีกา

อินเทอร์เน็ตไม่ได้ลอยอยู่บนฟ้า แต่วิ่งอยู่ใต้ทะเล

ภาพลักษณ์ของ “เครือข่ายไร้สาย” ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าอินเทอร์เน็ตเดินทางผ่านคลื่นสัญญาณเป็นหลัก แต่ความจริงคือข้อมูลกว่า 99% ระหว่างประเทศเดินทางผ่าน “สายไฟเบอร์ออปติกใต้น้ำ” ที่ถูกวางอยู่ใต้มหาสมุทร

สายเคเบิลเหล่านี้บางเส้นมีขนาดเล็กกว่า “สายยางในสวน” แต่ภายในบรรจุเส้นใยแก้วนำแสงที่สามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วใกล้แสง แต่ละเส้นสามารถรับส่งข้อมูลได้ถึงหลายร้อยเทราไบต์ต่อวินาที

ในหนึ่งวินาทีเดียว ข้อมูลที่วิ่งผ่านทะเลเหล่านี้อาจมากกว่าที่มนุษย์ทั้งโลกเคยผลิตในหนึ่งวันเมื่อ 30 ปีก่อน

 

ใครคือเจ้าของอินเทอร์เน็ตใต้ทะเล

แม้จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของโลก แต่สายเคเบิลใต้น้ำกลับไม่ได้เป็นของรัฐบาลเป็นหลัก เจ้าของส่วนใหญ่คือ “บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี” อย่าง Google, Meta, Microsoft, Amazon รวมถึงกลุ่มผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ทั่วโลก เช่น

  • Google ลงทุนในโครงการ Dunant Cable ที่เชื่อมสหรัฐฯ กับฝรั่งเศส ความยาวกว่า 6,600 กิโลเมตร
  • Meta และพันธมิตรพัฒนาโครงการ 2Africa ซึ่งเป็นสายเคเบิลที่ยาวที่สุดในโลกกว่า 45,000 กิโลเมตร เชื่อมโยงยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลางเข้าด้วยกัน
  • Facebook และ Google ยังร่วมกันสร้างสาย Apricot เชื่อมญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เพื่อรองรับการเติบโตของข้อมูลในเอเชีย

พูดง่ายๆ คือ โลกดิจิทัลในปัจจุบัน ไม่ได้ขับเคลื่อนโดยประเทศ แต่โดย “บริษัทเทคโนโลยีที่ถือครองสายเคเบิลใต้น้ำ”

 

สายเคเบิลเหล่านี้ทำงานอย่างไร

สายเคเบิลใต้น้ำทำงานบนหลักการเดียวกับสายไฟเบอร์ออปติกทั่วไป คือการส่งสัญญาณแสงผ่านเส้นใยแก้วนำแสงหลายร้อยเส้นภายในแกนกลางของสาย แต่สิ่งที่ทำให้มันพิเศษคือ “ความทนทาน”

แต่ละเส้นถูกหุ้มด้วยชั้นป้องกันหลายชั้น ตั้งแต่พลาสติก เหล็ก ทองแดง ไปจนถึงชั้นกันแรงดัน เพื่อป้องกันแรงดันจากน้ำทะเลลึกหลายพันเมตร รวมถึงแรงเสียดสีจากคลื่นหรือการขุดเจาะของเรือ

ตลอดแนวสายเคเบิลยังมี “สถานีขยายสัญญาณ” ทุกๆ 50-100 กิโลเมตร เพื่อรักษาความแรงของข้อมูลที่เดินทางข้ามทวีปโดยไม่ขาดตอน

ในบางพื้นที่ที่เสี่ยงต่อแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟใต้ทะเล วิศวกรต้องวางสายให้โค้งเล็กน้อย เพื่อป้องกันแรงดึงจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก งานออกแบบที่ละเอียดระดับเซนติเมตรในสภาพแวดล้อมที่ลึกกว่าหมื่นเมตร

นักวิทย์จีนเปิดตัวเครื่องตัดเคเบิลใต้น้ำ สามารถทำลายระบบสื่อสาร 95%  ของทั้งโลก - BT beartai

ทำไมสายเคเบิลใต้น้ำจึงสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก

ในยุคที่ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ตั้งแต่ตลาดหุ้น การโอนเงินระหว่างประเทศ ไปจนถึงสตรีมมิงและระบบคลาวด์  ความเร็วและเสถียรของการส่งข้อมูลกลายเป็น “ทรัพย์สินเชิงยุทธศาสตร์”

เพียงเสี้ยววินาทีของความล่าช้าในการส่งข้อมูล อาจหมายถึงความเสียหายมหาศาลในธุรกรรมระดับโลก นี่คือเหตุผลที่บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกลงทุนมหาศาลในการสร้างและควบคุมเส้นทางของข้อมูลเอง

สายเคเบิลใต้น้ำจึงไม่ต่างจาก “เส้นเลือดหลักของเศรษฐกิจโลกดิจิทัล” ที่หล่อเลี้ยงทุกอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นพลังงาน การขนส่ง การเงิน หรือการสื่อสาร

 

เมื่อสายเคเบิลกลายเป็นเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์

เพราะความสำคัญของมัน ทำให้สายเคเบิลใต้น้ำกลายเป็นหนึ่งในโครงสร้างที่ถูกจับตาอย่างใกล้ชิดในด้าน “ความมั่นคงไซเบอร์” หลายประเทศมองว่าสายเคเบิลเป็น “จุดเสี่ยงทางยุทธศาสตร์” ที่หากถูกโจมตีหรือถูกตัด จะส่งผลต่อเศรษฐกิจทันที

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีรายงานหลายกรณีที่สายเคเบิลถูกทำลายจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น

  • การลากสมอเรือโดยไม่ตั้งใจ
  • การระเบิดใต้น้ำ
  • หรือแม้แต่ “การโจมตีไซเบอร์ทางกายภาพ” ที่จงใจตัดสายเคเบิลเพื่อทำลายการสื่อสารของประเทศคู่แข่ง

นี่คือสาเหตุที่ประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐฯ จีน และรัสเซีย เริ่มพัฒนาเทคโนโลยีการเฝ้าระวังใต้น้ำ และติดตั้งระบบตรวจจับสัญญาณการบุกรุกของสายเคเบิล

เพราะในโลกยุคข้อมูล การควบคุม “เส้นทางของข้อมูล” สำคัญไม่แพ้การควบคุม “แหล่งพลังงาน”

 

อนาคตของอินเทอร์เน็ตใต้น้ำอาจไม่ได้หยุดแค่การเชื่อมต่อ

เทคโนโลยีใต้น้ำกำลังพัฒนาไปมากกว่าการรับส่งข้อมูล เช่น

  • สายเคเบิลพลังงาน-ข้อมูลแบบผสม (Hybrid Cables) ที่สามารถส่งทั้งไฟฟ้าและข้อมูลพร้อมกัน เหมาะสำหรับการจ่ายพลังงานให้ระบบเซนเซอร์ใต้ทะเล
  • โครงการเชื่อมทวีปอาร์กติก ที่ใช้เส้นทางใหม่ผ่านขั้วโลกเหนือ เพื่อย่นระยะทางการส่งข้อมูลระหว่างยุโรปกับเอเชีย
  • เทคโนโลยี Quantum Internet ที่อยู่ในระยะทดลอง ซึ่งจะใช้หลักการของฟิสิกส์ควอนตัมเพื่อส่งข้อมูลแบบปลอดภัยระดับสูงผ่านใยแก้วนำแสง

ในอนาคตอันใกล้ สายเคเบิลใต้น้ำอาจไม่ใช่เพียงโครงข่ายของอินเทอร์เน็ต แต่จะเป็น “โครงข่ายประสาทของโลก” ที่เชื่อมทุกระบบข้อมูลเข้าด้วยกัน ตั้งแต่ AI จนถึงระบบเศรษฐกิจอัจฉริยะระดับโลก

 

เรากำลังอยู่บนโลกที่ข้อมูลไหลผ่านทะเลลึกในทุกวินาที

แม้สายเคเบิลใต้น้ำจะเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็น แต่หากวันหนึ่งมันหยุดทำงาน โลกจะหยุดไปพร้อมกัน ไม่มีการโอนเงิน ไม่มีการสื่อสารข้ามทวีป ไม่มีระบบคลาวด์ ไม่มีการสตรีม ไม่มีตลาดหุ้น

ในความเงียบสงัดของทะเลลึก มีโครงข่ายเส้นเล็กๆ ที่ทำหน้าที่เชื่อมโลกทั้งใบให้หมุนไปอย่างราบรื่น มันไม่เคยปรากฏในข่าวใหญ่ ไม่ถูกพูดถึงบ่อยครั้ง แต่กลับเป็น “โครงสร้างที่ขับเคลื่อนโลกออนไลน์ทั้งหมด”

เพราะสุดท้ายแล้ว โลกไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยอากาศหรือแสงจากดาวเทียม แต่ขับเคลื่อนด้วย “แสงเล็กๆ ใต้ทะเล” ที่วิ่งอยู่ตลอดเวลาโดยที่เราแทบไม่รู้ตัว